วันเสาร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2553

Forex Course

Forex Course

บทเรียนที่ 1 มองแนวโน้มให้ออกก่อน

บทความนี้เขียนโดย the_greenday

หลักการมองแนวโน้ม เริ่มจากการมองเทรนให้ออกก่อนเสมอ เทรนในตลาด จะมีแค่ 3 แบบ
Up Trend แบบขาขึ้น จะวิ่งขึ้นอย่างเดียว (เหมาะกับการเข้าเทรด)
Down Trend แบบขาลงจะวิ่งลงอย่างเดียว (เหมาะกับการเข้าเทรด)
Sideway Trend แบบขนาน เคลื่อนตัวไปทางด้านข้าง แบบฟันปลา ขึ้นๆลงๆ พูดง่ายๆกราฟวิ่งไม่สวย ไม่มีแนวโน้ม (ตลาดช่วงนี้ นักลงทุนมักจะขาดทุนเสมอๆ)
Sideway แยกออกได้เป็น sidewayในช่วง(พักตัว)เทรนขาขึ้น sidewayในช่วง(พักตัว)เทรนขาลง


















เมื่อมองแนวโน้มแล้วรู้ว่าแบบนี้คือ ขึ้น ลง ด้านข้างแล้ว ต่อมาก็มาเรียนรู้ การเริ่มสร้างแน้วโน้ม
แนว โน้มขาขึ้น Up Trend --->จะขึ้นแบบค่อยๆขึ้นไปก่อนแล้ว พักตัว(เราเรียกว่า HL) แล้วขึ้นไปต่อทำแนวโน้มสูงขึ้น (เราเรียกว่า HH )
แนวโน้มขาลง Down Trend ----->จะลงแบบค่อยๆลงไปก่อนแล้ว พักตัว(เราเรียกว่า LH) แล้วลงไปต่อทำแนวโน้มต่ำลง (เราเรียกว่า LL )

็H = High
L = Low












ต่อมาก็มาถึง การฝึกหัด ลากๆ ขีดๆ ยิ่งฝึกลากบ่อยๆยิ่งมองภาพรวมตลาดง่ายขึ้น

ใน เทรนขาขึ้น จะเริ่มจาก ต่ำสุดไปสูงใหม่ ได้สูงใหม่แล้วก็จะมีการ(พักตัว)ลงมาทำฐาน(เรียกว่า HL) เมื่อรู้แล้วว่าพักตัวก็จะเริ่มลากเทรนขาขึ้นได้
ในเทรนขาลง จะเริ่มจาก สูงสุดไปต่ำใหม่ ได้ต่ำใหม่แล้วก็จะมีการ(พักตัว)ขึ้นไปทำฐาน(เรียกว่า LH) เมื่อรู้แล้วว่าพักตัวก็จะเริ่มลากเทรนขาลงได้

ส่วนการลากในกรอบ sideway นั่น จะมีหลายแบบด้วยกัน แบบ ขนาน แบบสามเหลี่ยม แบบกว้างไปแคบ บีบตัว ฟันปลา มีหลายรูปแบบ











เทรนขาขึ้นสามารถลากเทรน ได้สามช่วงเวลาคือ เทรนขาขึ้นระยะสั้น เทรนขาขึ้นระยะกลาง เทรนขาขึ้นระยะยาว
เทรนขาลงสามารถลากเทรน ได้สามช่วงเวลาคือ เทรนขาลงระยะสั้น เทรนขาลงระยะกลาง เทรนขาลงระยะยาว

ส่วน กรอบ sideway ไม่ควรเข้าเทรด เสียเวลานานกว่าจะหลุดกรอบ ส่วนใหญ่แล้วมักจะคืนกำไร(ขาดทุน)เป็นส่วนใหญ่ วิธีมองกรอบ รอการทะลุกรอบได้แล้วมีแนวโน้มขึ้นหรือลง ค่อยพิจารณาซื้อ ขาย








ในเทรนขาขึ้นขาลงนั่นจะมีแนวรับและแนวต้าน เสมอๆ
อะไรคือแนวรับแนวต้าน แนวรับ = Support = S แนวต้าน = Resistance = R
แนวรับ คือกราฟราคาวิ่งลงมาทำฐานแล้วลงต่อไปไม่ได้ เรียกว่า แนวรับ
แนวต้าน คือกราฟราคาวิ่งขึ้นไปชนทำฐานแล้ววิ่งขึ้นไปต่อไม่ได้ เรียกว่า แนวต้าน

ในเทรนขาขึ้นนั่นกราฟจะวิ่งขึ้นไปจนสุดจนกว่าจะลง รู้ได้ไงว่าลง เมื่อลากเทรนขาขึ้นแล้วหลุดเทรนขาขึ้นนั่นแล้วก็จะลง(เปลื่ยนทิศทาง)
ในเทรนขาลงนั่นกราฟจะวิ่งลงไปจนสุดจนกว่าจะขึ้น รู้ได้ไงว่าขึ้น เมื่อลากเทรนขาลงแล้วหลุดเทรนขาลงนั่นแล้วก็จะขึ้น(เปลื่ยนทิศทาง)

ส่วน ใหญ่แล้ว เมื่อมีเทรน จนหมดเทรน มักจะเกิด Sideway ก่อนเสมอๆ เปรียบเสมือนการวิ่งมานานๆแล้วเหนื่อยก็เลยต้อง หยุดพัก(เกิดsideway) เมื่อลากกรอบsidewayได้หลุดกรอบไปแล้วก็จะวิ่งไปต่อ(แสดงว่าหายเหนื่อยแล้ว)

















ตอนนี้ มีความรู้เรื่องเส้น TREND LINE แล้วก็ แนวรับ แนวต้าน เทรนขาขึ้น ขาลง

ต่อไปก็ ลองวิชากันครับ
เมื่อเกิดเทรนขาขึ้น แล้วลงมารับที่เส้น(แนวรับ)ลากเทรนขาขึ้นได้แล้ว สามารถเป็นจังหวะเข้า ซื้อ
เมื่อเกิดเทรนขาลง แล้วขึ้นมาต้านที่เส้น(แนวต้าน)ลากเทรนขาลงได้แล้ว สามารถเป็นจังหวะเข้า ขาย

ไม่ว่าจะเทรดช่วงเวลาไหนก็ตาม 1m 5m 15m 30m 1h 4h 1d ทุกช่วงเวลามีเทรนเสมอ อยู่ที่เราแล้วว่ามองแนวโน้มออกหรือยัง...
และ ทุกช่วงเวลาไม่ว่าจะเกิดเทรนขาขึ้น เทรนขาลง เมื่อขึ้นแล้วก็จะขึ้นเป็นรอบจนหมดรอบ เมื่อเกิดเทรนขาลงก็จะลงจนหมดรอบ คือควรเทรดเป็นรอบๆไปครับ

เทรนสามารถบอกจังหวะเข้า ซื้อ ขายได้ ตามระดับ แนวรับ แนวต้าน
เทรนสามารถบอกจังหวะหมดเทรนของขาขึ้นขาลง ของรอบนั่นๆ
แล้วช่วยให้มองภาพรวมได้ง่ายขึ้น
เทรนยังช่วยให้ขาดทุนได้น้อยลง เมื่อรู้ว่าเข้าเทรดผิดทาง(สำคัญต้องมองแนวโน้มให้ออก รู้ว่าผิดทางก็มีวินัยโดยการกล้า stop loss )













---------------------------------------------------------------------------------------------------------

บทเรียนที่ 2 รู้แนวรับ แนวต้าน

บทความนี้เขียนโดย the_greenday

แนวรับ Support บอกถึงการที่ราคาลงมาที่แนวรับนั่นๆแล้วแนวรับนั่นรับอยู่เลยดีดกลับขึ้นไปต่อ
แนวต้าน Resistance บอกถึงการที่ราคาวิ่งขึ้นไปชนแนวต้านนั่นๆแล้วแนวต้านนั่นต้านอยู่เลยดีดกลับลงไปต่อ
เรียกกันง่ายๆ แนวรับเพื่อไม่ให้ลงต่อ แนวต้านเพื่อไม่ให้ขึ้นไปต่อ
แนวรับ แนวต้าน สามารถบอกถึงเป้าหมายในอนาคตได้ คือ อดีตเคยขึ้นไปเป็นแนวต้านตรงไหน อนาคตก็จะขึ้นไปที่แนวต้านเดิมที่เคยขึ้น
เช่นเดียวกัน อดีตเคยลงไปตรงไหนเป็นแนวรับ อนาคตก็จะลงไปที่แนวรับเดิมที่เคยลงไปถึง

เป็นไปตามธรรมชาติ เป็นรอบๆของการขึ้น ลง อดีตเคยเป็นยังไงอนาคตกราฟก็จะวิ่งไปที่เดิมที่เคยขึ้นและลงเสมอๆ

double top เกิดจากการที่ แนวต้าน(อดีต)และแนวต้านปัจจุบันมาชนที่เดียวกันมักจะดีดตัวกลับลงแรงๆ เสมอ คล้ายๆกับตัว M บางครั้งจะเป็นตัว M หางยาว
double bottom เกิดจากการที่ แนวรับ(อดีต)และแนวรับปัจจุบันมาชนที่เดียวกันมักจะดีดตัวกลับขึ้นแรงๆ เสมอๆ คล้ายๆ กับตัว W บางครั้งจะเป็นตัว W หางยาว




















การหาจุดเข้าซื้อ ขาย โดยการใช้ แนวรับ แนวต้าน เข้ามาช่วย

เมื่อทะลุ แนวต้านขึ้นไปได้ เรียกว่า break out ซื้อ
เมื่อทะลุ แนวรับลงมาไปได้ เรียกว่า break out ขาย

หลังจากที่รู้การลากเส้นแนวโน้มไปแล้วเราจะเอาการลากเส้นแนวโน้มมาผสมกับการหาจังหวะเข้า ซื้อ ขาย ที่ปลอดภัย
เริ่มแรกปลอดภัยสุด พึ่งเกิดแนวโน้มขาขึ้นแล้วมีจังหวะ break outทะลุแนวต้าน(อดีต)ขึ้นไปได้ เป็นจังหวะซื้อที่มักจะถูกทางเสมอๆ
พึ่งเกิดแนวโน้มขาลงแล้วมีจังหวะ break outทะลุแนวรับ(อดีต)ลงไปได้ เป็นจังหวะขายที่มักจะถูกทางเสมอๆ
ปลอดภัย น้อยลงมา คือช่วงที่ขึ้นไปสูงและไปต่ำแล้วในแนวโน้มขาขึ้นและขาลง เรามาไม่ทันในการทะลุ(เกิดbreak out)ครั้งก่อนๆ(ตกรถ) ไปเข้าจังหวะใกล้หมดรอบแนวโน้มของขาขึ้นขาลงนั่นต้องรู้และพิจารณาเสมอๆว่า เรามาซื้อขายสูงและต่ำเกินไปต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ โดยกาารเข้าเร็วออกเร็วแล้วมองหาเป้าหมาย(TP)ในอดีตที่เคยขึ้นลงไปที่ระดับ ราคาไหน(แนวรับ แนวต้าน อดีต)








การใช้ แนวรับ แนวต้านในการหา stop loss วินัยเรื่องนี้ถือว่าสำคัญที่สุด

ยก ตัวอย่าง กองทุน กบข. ที่เอาเงินภาษีประชาชนไปลงทุนแล้วขาดทุนย่อยยับ ต่อให้ผู้บริหารเก่งแค่ไหนในการบริหารแต่ไม่กล้ายอมที่จะตัดขาดทุนปล่อยไป คิดว่่าเดียวก็ขึ้นก็เลยเสียหายจนถึงทุกวันนี้ เพราะขาดวินัยที่จะกล้า stop loss ขาดทุนแต่ต้นๆ แล้วไปเริ่มต้นใหม่ในการบริหารเงินทุน นี้คือตัวอย่างของการไม่ยอม stop loss

การเข้าเทรดทุกครั้ง เราต้องคิดเสมอด้วย เหตุ และ ผล ว่าเราเทรดเพราะอะไร วางแผนในเทรดครั้งนี้ยังไง เป้าหมายตรงไหน และจุดยอมรับการขาดตรงไหน
นึก เสมอว่าเข้าเทรดต้องชนะตลาด เมื่อแพ้ก็ยอมมอบตัวให้เร็ว เมื่อชนะตลาดก็รีบเก็บกำไรให้ได้ รู้ว่าตอนไหนควรอยู่เฉยๆ ตอนไหนควรเล่นสั้น ตอนไหนควรเก็บยาว














จะเห็นว่าแค่เรารู้ พื้นฐาน การลากเส้นและแนวรับแนวต้าน สามารถหาได้ทั้งจุดเข้าซื้อ ขาย เป้าหมาย จุดยอมขาดทุน
ฝึก มองภาพกว้างให้ออก โดยไปมองที่ระยะยาว มาถึงระยะสั้น บางครั้ง 15m หาเป้าหมายไม่เจอก็ลองไปเปิดกราฟ 30m 1h 4h เพื่อหาเป้าหมาย(แนวรับแนวต้านที่เคยขึ้นลงมาก่อน) การลากเส้นเทรนก็เช่นกันต้องรู้ว่าหลุดเทรนเปลื่อนแนวโน้มแล้ว มองให้ออก ฝึกบ่อยๆยิ่งบ่อยๆจะยิ่งง่ายขึ้นไปเอง การเทรดแต่ล่ะครั้งนั่น ควรเล่นเป็นรอบๆ จะสังเกตุเห็นว่าเมื่อขึ้น แนวโน้มที่เราลากเทรนก็ึลากได้จนหลุดเทรนขาขึ้นเมื่อรู้ว่าหมดคือหมดรอบของ การขึ้น เมื่อรู้ว่ารอบ sideway ลากกรอบ sideway ให้ลากที่กรอบแนวรับแนวต้านนั่นๆ
การขึ้น การลง และด้านข้าง จะเห็นว่าจะวิ่งเป็นรอบๆไป บ้างครั้งเทรดง่ายเพราะกราฟวิ่งขึ้นตามเทรนขึ้นเทรนลง บ้างครั้งเล่นยากเพราะกราฟสวิง(sideway)

แนวรับ แนวต้าน ในการเกิด reversal(ขึ้นต่อ) คือการเกิดการกลับตัวของอดีตเคยเป็นแนวต้านแต่ปัจจุบันเปลื่อนมาที่เดิมกลาย เป็นแนวรับแล้วทำทางวิ่งขึ้นต่อ
reversal(ลงต่อ) คือการเกิดการกลับตัวของอดีตเคยเป็นแนวรับแต่ปัจจุบันเปลื่อนมาที่เดิมกลาย เป็นแนวต้านแล้วทำทางวิ่งลงต่อ

















-----------------------------------------------------------------------------------------------------------

บทเรียนที่ 3 ฝึกลากรูปแบบต่างๆ

บทความนี้เขียนโดย the_greenday

หลัง จากที่ฝึกหัดการมองเทรนแนวโน้มให้อออกแล้ว ก็เริ่มไปฝึกการมองหา แนวรับ-แนวต้าน รู้จักกันดีแล้วก็เริ่มมองหาจังหวะเข้าซื้อ ขาย ฝึกกันบ่อยๆครับ มองหาให้เจอบ่อยๆ นานๆไปจะทำให้เรามองภาพได้เร็วขึ้นและมองหาจังหวะได้ดีกว่านักลงทุนคนอื่น

ต่อ ไปก็มารู้จักรูปแบบจากการใช้เส้น TRENDLINE ในการลากรูปแบบต่างๆ ที่ฝรั่งเค้าเรียกว่า Chart patterns เราจะมาฝึกลากรูปแบบแรก คือ SYMMETRICAL TRIANGLEเป็นรูปแบบสามเหลี่ยมที่สมดุลกัน ลักษณะจะลากเอียงขาขึ้นและขาลงได้เอียงพอๆ กัน (ดูจากในรูป) ในกรอบสามเหลี่ยมนั่นจะเห็นว่าเปิดกว้างแล้วค่อยๆ เล็กลงจนทำมุมเป็นสามเหลี่ยม เป็นการเล่นราคากันระหว่างแรงซื้อ และแรงขายที่ค่อยๆ บีบตัวจนเกิดรูปแบบดังกล่าว จนกว่าการบีบตัวในกรอบสามเหลี่ยมแคบลง โอกาสที่จะเกิดการระเบิดของราคาก็ยิ่งสูงขึ้น เมื่อทะลุกรอบสามเหลี่ยมได้ (break out) กราฟก็จะกลับมาวิ่งแรงอีกครั้ง (อธิบายแบบง่ายๆ คือ รอให้ราคาซื้อราคาขายวิ่งในกรอบสามเหลี่ยมจากกว้าง แล้วบีบตัวไปแคบทะลุได้เมื่อไหร่แล้วค่อยพิจารณา ซื้อ ขาย (การทะลุได้ คือการระเบิดที่เกิดจากการบีบตัวของราคาซื้อราคาขายนั่นเอง) )


Symmetrical triangle มีแบบ ขาขึ้น และ ขาลง
และยังสามารถหาเป้าหมาย(target)ของรูปแบบนี้ได้ เป็นเป้าหมายระยะสั้น(ใช้หลักความน่าจะเป็น) (ดูจากรูป)

พื้นฐานจากรูปแบบนี้มาจากการรู้จักเทรนขาขึ้น ขาลง ด้านข้าง ลากเป็นก็สามารถหารู้แบบนี้ได้ มักจะเกิดขึ้นให้เห็นบ่อยๆ




















รูปแบบต่อคือ DESCENDING TRIANGLE ขาลง
เป็น รูปแบบสามเหลี่ยมที่สามารถลาก Trendline ได้เทรนขาลงหนึ่งเส้นแล้วลากเส้นตรงในแนวนอนได้อีกหนึ่งเส้น เมื่อลากสองเส้นนี้ได้แล้วก็คือกรอบสามเหลี่ยมของขาลง(descending triangle downtrend ) จากในรูปจะสังเกตุเห็นว่าเมื่อลากกรอบสามเหลี่ยมขาลงได้แล้วจะมีการบีบตัวใน กรอบยิ่งแคบมากโอกาสที่จะระเบิดตัวของราคาลงต่อยิ่งมีโอกาสสูงมากขึ้น

ส่วน ในกรอบสามเหลี่ยมขาลงนั่น จะสังเกตุเห็นของการลากเส้นตรง บางครั้งอาจจะการเกิด double bottom or triple bottom (false) หลอกเกิดขึ้นแล้วราคาดีดตัวลงไปต่อ จะเห็นว่าไม่ว่ารูปแบบและระบบอะไรก็ตามมักมีหลอกให้เห็นเสมอๆเราควรใช้ เครื่องมือกรองกราฟหลายๆชั้นเพื่อพาจังหวะที่ดีที่สุดและผิดทางต้องกล้าที่ stop loss











รูปแบบต่อคือ ASCENDING TRIANGLE ขาขึ้น
เป็น รูปแบบสามเหลี่ยมที่สามารถลาก Trendline ได้เทรนขาขึ้นหนึ่งเส้นแล้วลากเส้นตรงในแนวนอน(ด้านบน)ได้อีกหนึ่งเส้น เมื่อลากสองเส้นนี้ได้แล้วก็คือกรอบสามเหลี่ยมของขาขึ้น(ascending triangle uptrend ) จากในรูปจะสังเกตุเห็นว่าเมื่อลากกรอบสามเหลี่ยมขาขึ้นได้แล้วจะมีการบีบตัว ในกรอบยิ่งแคบมากโอกาสที่จะระเบิดตัวของราคาขึ้นต่อยิ่งมีโอกาสสูงมากขึ้น

ส่วน ในกรอบสามเหลี่ยมขาขึ้นนั่น จะสังเกตุเห็นของการลากเส้นตรง บางครั้งอาจจะการเกิด double top or triple top (false) หลอกเกิดขึ้นแล้วราคาดีดตัวขึ้นไปต่อได้











รูปแบบ WEDGES

มีด้วยกัน 2 แบบคือ FALLING WEDGES(เกิด bullish) แบ่งได้อีกสองรูปแบบคือ ในช่วงการเกิดของขาขึ้นและขาลง
RISING WEDGES(เกิด bearish) แบ่งได้อีกสองรูปแบบคือ ในช่วงการเกิดของขาขึ้นและขาลง

FALLING WEDGES(เกิด bullish)ของในช่วงขาขึ้นจะสามารถลากกรอบสามเหลี่ยมได้ในช่วงเทรนขาขึ้น(ช่วง พักตัวของเทรนขาขึ้น)เมื่อทะลุกรอบสามเหลี่ยมขึ้นไปต่อได้คือการเกิด break out ของ FALLING WEDGE IN AN UPTREND (BULLISH)แล้วจะวิ่งขึ้นไปต่อ

FALLING WEDGES(เกิด bullish)ของในช่วงขาลงจะสามารถลากกรอบสามเหลี่ยมได้ในช่วงเทรนขาลง(ช่วงพัก ตัวของปลายเทรนขาลง)เมื่อทะลุกรอบสามเหลี่ยมขึ้นไปต่อได้คือการเกิด break out ของ FALLING WEDGE IN A DOWNTREND(BULLISH)แล้วจะวิ่งเปลื่อนทิศจากขาลงไปเป็นขาขึ้น

RISING WEDGES(เกิด bearish)ของในช่วงขาขึ้นจะสามารถลากกรอบสามเหลี่ยมได้ในช่วงเทรนขาขึ้น(ช่วง พักตัวของปลายเทรนขาขึ้น)เมื่อทะลุกรอบสามเหลี่ยมลงมาได้คือการเกิด break out ของ RISING WEDGE IN AN UPTREND (BEARISH)แล้วจะวิ่งเปลื่อนทิศจากขาขึ้นไปเป็นขาลง

RISING WEDGES(เกิด bearish)ของในช่วงขาลงจะสามารถลากกรอบสามเหลี่ยมได้ในช่วงเทรนขาลง(ช่วงพัก ตัวของเทรนขาลง)เมื่อทะลุกรอบสามเหลี่ยมลงไปต่อได้คือการเกิด break out ของ RISING WEDGE IN A DOWNTREND (BEARISH) แล้วจะวิ่งลงไปต่อ




















รูปแบบ RECTANGLES

มีรูปแบบด้วยกัน 2 แบบ คือ RECTANGLE UPTREND (เกิด bullish)
เป็นรูปแบบเส้นขนานกันสองเส้นในแนวโน้มขาขึ้น(ช่วงพักตัว)เมื่อลากกรอบเส้น ขนานได้แล้วหลุดกรอบได้เกิด break out แล้วขึ้นต่อ


RECTANGLE DOWNTREND (เกิด bearish)
เป็นรูปแบบเส้นขนานกันสองเส้นในแนวโน้มขาลง(ช่วงพักตัว)เมื่อลากกรอบเส้น ขนานได้แล้วหลุดกรอบได้เกิด break out แล้วลงต่อ














รูปแบบ FLAGS AND PENNANTS

รูปแบบ FLAGS จะเป็นรูปแบบ ธง(ขนานด้านข้าง)จะเกิดช่วงพักตัวของแนวโน้ม มี 2 แบบคือ

ขาขึ้น(uptrend)เมื่อเราลากเส้น trendlind ได้รูป ธง(แบบขนานด้านข้าง) ทะลุขึ้นไปได้เรียกว่า break out วิ่งขึ้นไปต่อ

ขาลง(downtrend)เมื่อเราลากเส้น trendlind ได้รูป ธง(แบบขนานด้านข้าง) ทะลุลงไปได้เรียกว่า break out วิ่งลงไปต่อ


รูปแบบ PENNANTS จะเป็นรูปแบบ ธงสามเหลี่ยม จะเกิดช่วงพักตัวของแนวโน้ม มี 2 แบบคือ

ขาขึ้น(uptrend)เมื่อเราลากเส้น trendlind ได้รูป ธงสามเหลี่ยม ทะลุขึ้นไปได้เรียกว่า break out วิ่งขึ้นไปต่อ

ขาลง(downtrend)เมื่อเราลากเส้น trendlind ได้รูป ธงสามเหลี่ยม ทะลุลงไปได้เรียกว่า break out วิ่งลงไปต่อ




















รูปแบบ HEAD AND SHOULDERS

head and shoulders pattern นั่นจะมี หัว และ ไหล่(ด้านซ้ายและขวา) จะมี head and shoulders ของขาขึ้น และ ขาลง

ส่วน ใหญ่จะเรียก head and shouldersขาขึ้นว่า หัวตั้ง(ด้านบน) เมื่อเกิดแบบนี้แล้วจะเป็นการกลับตัวจากขาขึ้นเป็นขาลงแรงๆเสมอ ลักษณะนี้จะมี หัวอยู่บนสุด และไหล่ทั้งซ้ายและขวาต้องไม่สูงกว่าหัว ถึงจะเรียกว่า head and shoulders(หัวตั้งด้านบน) เมื่อเกิดแล้วต้องสามารถลากเส้น neckline ได้เพื่อ confirm การลง


ส่วน head and shouldersขาลง เรียกว่าหัวกลับ(ด้านล่าง) เมื่อเกิดแบบนี้แล้วจะเป็นการกลับตัวจากขาลงเป็นขาขึ้นแรงๆเสมอ ลักษณะนี้จะมี หัวอยู่ล่างสุด และไหล่ทั้งซ้ายและขวาต้องไม่สูงกว่าหัว ถึงจะเรียกว่า head and shoulders(หัวกลับด้านล่าง) เมื่อเกิดแล้วต้องสามารถลากเส้น neckline ได้เพื่อ confirm การขึ้น


ที่ สำคัญ หัวต้องอยู่สุงและต่ำกว่าไหล่เสมอๆ ไม่ว่าจะมีไหล่ขวากี่ครั้ง ไหล่ซ้ายกี่ครั้ง แต่หัวต้องสูงกว่าและต่ำกว่าเสมอๆ ถึงจะเรียกว่า head and shouldersของขาขึ้น ขาลงนั่นๆ














รูปแบบ Triple top และ Triple bottom

Triple top ลักษณะจะเกิดการทำราคาดีดตัวไปชน แนวต้านที่เดียวกันถึง 3 ครั้ง พยายามทะลุขึ้นไปต่อไม่ได้ก็จะเกิดการกลับตัวลงอย่างแรงจนทะลุเส้น neckline ลงต่อไปได้ก็จะเป็นการเกิด Triple top เพื่อกลับตัวเป็นขาลง


Triple bottom ลักษณะจะเกิดการทำราคาดีดตัวไปชน แนวต้านที่เดียวกันถึง 3 ครั้ง พยายามทะลุลงไปต่อไม่ได้ก็จะเกิดการกลับตัวขึ้นอย่างแรงจนทะลุเส้น neckline ขึ้นต่อไปได้ก็จะเป็นการเกิด Triple top เพื่อกลับตัวเป็นขาขึ้น












 ---------------------------------------------------------------------------------------------------

บทเรียนที่ 4 วัฎจักรของกราฟ

ช่วงเวลาในตลาด forex

ตลาด Australian Dollar or AUD เวลาเปิดตรงกับประเทศไทยเวลา 5.00 – 13.00 น.

ตลาด Japanese Yen or JPY เวลาเปิดตรงกับประเทศไทยเวลา 7.00 – 14.00 น.

ตลาด Euro or EUR เวลาเปิดตรงกับประเทศไทยเวลา 13.00 – 21.00 น.

ตลาด British Pound or GBP เวลาเปิดตรงกับประเทศไทยเวลา 14.00 - 22.00 น.

ตลาด Swiss Franc or CHF เวลาเปิดตรงกับประเทศไทยเวลา 13.00 – 21.00 น.

ตลาด US Dollar or USD เวลาเปิดตรงกับประเทศไทยเวลา 19.00 ถึงเวลาตี 3 ปิดตลาด

--------------------------------------------------------------------------------------------

ธรรมชาติของสกุลค่าเงินมักจะมีธรรมชาติในตัวมันเองให้เห็นเสมอๆ
การเกิด Cycle วงจรของรอบกราฟ มีธรรมชาติให้เห็นทุกๆ เวลา (TF)
การฝึกมองธรรมชาติของแต่ละสกุลเงินนั่นจะทำให้เข้าใจการวิ่งของค่างเงินนั่นๆและจะเข้าใจการหยุดนิ่งว่าทำไมถึงนิ่ง
การวิ่ง คือ การเกิดแนวโน้ม การนิ่งสวิงไปมาก็ คือ ไม่มีแนวโน้ม (sideway)

จุดที่น่าสนใจของการมองหาจังหวะเข้าเทรด นั่นสำคัญมากๆ
โดยจะแบบเป็นรอบที่น่าสนใจเป็น 3 รอบด้วยกันใน 1 วัน
โดยมี 2 รอบที่มักจะวิ่งแรงๆและมีแนวโน้มเหมาะกับการเทรดเสมอๆ คือ ช่วงรอบ 13.00 – 17.00 โดยเฉลี่ยมักจะวิ่งและมีแนวโน้มให้เห็นเสมอๆ
และช่วงรอบ 19.00 – 23.00 โดยเฉลี่ยมักจะวิ่งและมีแนวโน้มให้เห็นเสมอๆ
ส่วนอีก 1 รอบ ที่วิ่งก่อนตลาด Us Dollar จะปิด
รอบ 12.00 – ประมาณตี 1 (แต่การเคลื่อนไหวของราคาบางวันก็ไม่วิ่ง บางวันก็วิ่งแรง )
รอบนี้โดยทั่วไปจะไม่สำคัญเท่า 2 รอบแรก (ฉะนั่นหาเวลาเล่นแค่ 2 รอบตอนแรกต่อวันก็พอแล้ว)
เวลาที่มักจะวิ่งดูได้จากเวลาการเปิดและปิดตลาดของแต่ละสกุลเงินชนกัน และอยู่ในโซนเดียวกันมักจะมีแรงซื้อ แรงขายเข้ามามาก

สรุปแล้วเวลาที่เหมาะกับการเทรด
อยู่ระหว่าง 13.00 – 23.00 น. ของโซนตลาด EUR GBP USD สามตลาดนี้มักจะเป็นตัวการสำคัญของการวิ่งและมีแรงซื้อ ขายเข้ามามาก
โดย จังหวะการเข้าเทรด มักจะนิยมเล่นเป็นรอบๆไปคือรอบ เวลา 13.00 – 17.00 โดยประมาณจะวิ่งหนึ่งรอบแล้วถึงมีการพักตัวของกราฟ(ราคาไม่วิ่งไปไหนมาก)
และอีกหนึ่งรอบ ช่วงรอบ 19.00 – 23.00 อีกหนึ่งรอบแล้วถึงเกิดการพักตัวของกราฟ (ราคาไม่วิ่งไปไหนมาก)


ความสัมพันธ์ของแต่ละ สกุลเงิน ที่นิยมเทรด

เริ่มจาก EUR/USD เรียกกันย่อๆว่า Eu
ถ้า Eu ดีดตัวแรงมักจะดึง Ej ไปตามทิศทางเดียวกันด้วยเสมอๆ

GBP/USD เรียกย่อๆว่า Gu
ถ้า Gu ดีดตัวแรงมักจะ ดึง Gj ไปตามทิศทางเดียวกันด้วยเสมอๆ

EUR/GBP เรียกย่อๆว่า Eg
ถ้า Eg ดีดตัวแรง จะเห็น Gu วิ่งตรงข้ามกับ Eg เสมอๆ

USD/JPY เรียกย่อๆว่า Uj
ถ้า Uj ดีดตัวแรงมักจะ Ej และ Gj ไปทิศทางเดียวด้วยเสมอๆ
(โดยเฉพาะถ้า Eu Gu อยู่ในช่วงกราฟนิ่งๆ(sideway) แต่Ujมีแรงวิ่งมาก มักจะดึง Ej Gj ไปแรงๆเสมอๆ )

Eu มักจะวิ่งไปทางทิศเดียวกับ Gu เสมอๆ โดยเฉพาะถ้าสองตัวนี้วิ่งไปแนวโน้มเดียวกันจะสังเกตุเห็นว่าวันนั่นตลาดจะ เล่นง่าย เพราะเกิดแนวโน้มที่ชัดเจน และจะไปดึงให้สกุลอื่นๆมีแนวโน้มที่ชัดเจนตามด้วยเสมอๆ


ธรรมชาติของการวิ่ง

มักจะเห็นการวิ่งระหว่างช่วง ท้ายชั่วโมง กับ ต้นชั่วโมงเสมอๆ
มักจะวิ่งตอนปลายนาทีระหว่าง นาทีที่45 ถึงต้นชั่วโมงช่วง 15นาทีแรก
และมักจะไปหยุด(พักตัว)วิ่งช่วงระหว่างนาทีที่ 25-40 ของในหนึ่งชั่วโมง โดยประมาณจากการศึกษาธรรมชาติ

การ วิ่งของสกุลเงินแต่ละตัวนั่น โดยเฉลี่ย 1 สัปดาห์ 5 วันของการเทรด มักจะวิ่งโดยมีแนวโน้มและจับจังหวะไม่ยาก ประมาณ 2-3 วันต่อสัปดาห์แค่นั่น
ที่เหลือส่วนใหญ่จะเป็นช่วง สวิงไปๆมาๆ นิ่งๆไม่ไปไหน
ฉะนั่นในหนึ่งสัปดาห์ต้องวางแผนและมองภาพรวมให้ออกก่อนเสมอๆ

ในรอบ 1 เดือนนั่นจะมีให้เทรดทั้งหมด 4 สัปดาห์
ช่วงต้นเดือนมักจะเล่นยากเสมอๆ(กราฟไม่ค่อยไปไหน)
ส่วนช่วงกลางเดือนมักจะมีจังหวะไม่ยาก และปลายเดือนก็มักจะเล่นไม่ยากเช่นกัน

ต่อไปก็มาดูกันว่า ว่าธรรมชาติของการวิ่งระดับ
1m 5m 15m 30m 1h 4h 1d ว่าธรรมชาติการวิ่งเป็นอย่างไร


เริ่มต้นฝีกสังเกตธรรมชาติของกราฟระดับ M1

ดูธรรมชาติของจากเริ่มต้นไปถึงสุดทางวิ่งเท่าไหร่
ดูธรรมชาติของเวลาว่าการกินเวลาของช่วงเริ่มต้นไปจนสุดกินเวลาเท่าไหร่
ฝึกดูจังหวะพักตัวมักจะพักตัวที่เวลาไหน นาทีที่เท่าไหร่
ฝึกดูว่าจังหวะไหนเหมาะสมกับการเข้าไปเล่น จังหวะไหนควรรอ
ธรรมชาติของเวลาและการขึ้น การลง มักจะเกิดซ้ำๆให้เห็นบ่อยๆ
(โดยมองหลักความน่าจะเป็นควบตาม)

โดย เฉลี่ยระดับการวิ่งของกราฟที่ 1 นาทีวิ่งได้ตั้งแต่ 5 จุด - 100ต้นๆโดยประมาณต้องดูให้ออกก่อนว่าแนวโน้มที่เกิดขึ้นเป็นแบบใหญ่ แบบเล็ก แบบย่อย ต่อหนึ่งรอบการวิ่ง
โดยการกินเวลาจะอยู่ระดับโดยเฉลี่ยที่ สิบนาทีขึ้นไปแต่ไม่เกินสองชั่วโมงต่อหนึ่งรอบการวิ่งของแบบแนวโน้มใหญ่ เล็กและย่อย


 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น